อยากอายุยืนอย่างมีคุณภาพ 6 เสาหลักสุขภาพที่ทุกคนทำได้
กับเสวนา “Adaptation for Longevity” บนเวที SX2025
ปัจจุบัน คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ย 79 ปี และมีแนวโน้มจะยืนยาวมากขึ้น แน่นอน ทุกคนก็อยากมีอายุอ่อนกว่าวัย แก่อย่างมีสุขภาวะ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระยาวนานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทำให้ Longevity เป็นกระแสที่มาแรงทั่วโลก และมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
เชื่อว่า หลายคนยังไม่รู้ว่า Longevity สำคัญแค่ไหน ต้องเริ่มทำอย่างไร และต้องจ่ายแพงไหม ลองมาฟังไอเดียและเคล็ดลับดีๆ จาก 3 กูรูชื่อดัง ที่มาแชร์ความรู้ในเวทีเสวนา "Adaptation for Longevity" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ภายในงานมหกรรมด้านความยั่งยืน หรือ SX 2025 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

พญ.วรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ - หมอฟ้า แพทย์ผู้ชำนาญการเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์วิถีชีวิต โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ บอกว่า การจะมี Longevity ซึ่งหมายถึงการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพที่ดีทั้งกายและใจนั้น ต้องเริ่มจากการมีเป้าหมายที่ชัดเจนของตัวเราเองก่อนว่า ถ้าเรามีอายุยืนไปถึง 80 ปี หรือ 100 ปี เราอยากมีชีวิตอยู่แบบไหน ถ้าไม่มีเป้าหมายก็จะปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ตัวเองไม่ได้ ซึ่งหัวใจของการดูแลในศาสตร์ที่ทำให้คนเรามีสุขภาพที่ยืนยาว ก็คือ การทำให้ช่วงชีวิตของเรามีสุขภาพดีนานที่สุด (Healthspan) เราสามารถดูแลตัวเองได้ เดินเหินได้ ไปเที่ยวได้ กินอาหารที่เราอยากกินได้

"การดูแลสุขภาพก็ต้องอาศัยการลงทุนเรื่องเวลาเหมือนกัน เพราะในวัยที่ยังเด็กอยู่ ร่างกายก็แข็งแรง แต่หากไม่ดูแลสุขภาพเลย ผลที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่วันรุ่งขึ้นแน่นอน แต่มันจะเกิดขึ้นในอีก 10 ข้างหน้า ฉะนั้น Longevity ไม่ใช่เรื่องของคนแก่ แต่เราต้องเริ่มใส่ใจดูแลสุขภาพตั้งแต่อายุยังน้อย"
เมื่อมีเป้าหมายแล้ว อันดับแรกที่ทุกคนทำได้เลยก็คือ เราต้องเข้าใจตัวเองก่อนว่า ณ วันนี้ สุขภาพเราเป็นอย่างไร แต่ละคนคิดว่าร่างกายตัวเองเท่ากับคนอายุเท่าไหร่ บางคนอายุ 40 แต่รู้สึกเหมือนคนอายุ 60 ก็แสดงว่า ร่ายกายมีปัญหา ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปว่า เราจะดูแลตัวเองยังไงให้เหมาะกับอายุ หรืออ่อนกว่าวัยได้
นอกจากความรู้สึก ต้องตรวจร่างกายเพื่อให้รู้ว่า สมรรถภาพร่ายกายเป็นอยางไร เช่น น้ำหนัก เปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย ความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด ซึ่งหมอฟ้า เน้นย้ำว่า การดูแลตัวเองขั้นแรกไม่ใช่กินอาหารเสริม ไม่ใช่ไปฉีดยาโน่นฉีดนี่เข้าตัว หรือไม่แช่น้ำแข็ง แต่เป็นการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเอง โดยมี 6 เสาหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต ได้แก่ การนอน การกิน การออกกำลังกาย การควบคุมความเครียด การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และเลี่ยงสารพิษหรือวัตถุอันตราย
หมอฟ้า ให้ข้อคิดว่า โรคทุกโรคเกิดมาจากความไม่พอเพียงของตังเอง เพราะเรากินเยอะไป ถึงเวลานอน เราก็ไม่อยากนอน อยากใช้เวลาทำอย่างอื่น ออกกำลังกายเยอะไปก็ป่วย หรือใช้อารมณ์ฟุ่มเฟือยจนไม่มีสติ ล้วนทำร้ายตัวเราและส่งผลกระทบต่อโลก ฉะนั้น ถ้าใครคิดว่าจะอยู่ได้ยืนยาว อยากให้ถามตัวเองว่า วันนีมีอะไรที่เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้อายุยืนแต่คุณภาพชีวิตดี
ดูแลสุขภาพใจให้แข็งแรง
อย่ามองข้ามเรื่องสุขภาพจิต เพราะเป็นปัญหาที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากรายงานสุขภาพคนไทย ปี 2568 ที่จัดทำโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนไทย 13.4 ล้านคน เคยประสบปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคจิตเวช ขณะเดียวกันอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จในไทยยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ กลุ่มเยาวชน 15-29 ปี จะเผชิญภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า และมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเรียน สื่อสังคมออนไลน์ (Fear of Missing Out: FOMO) ความรุนแรงในครอบครัว และความคาดหวังจากสังคม เหล่านี้ล้วนเป็นศัตรูของ Longevity ทั้งสิ้น ขณะที่กลุ่มวัยก่อนสูงอายุ 45–59 ปี มีระดับความสุขต่ำที่สุด สะท้อนถึงความเปราะบางทางอารมณ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต
พญ.พิศศรี คุ้มอนุวงศ์ - หมอแม่ เจ้าของเพจ Dr.Mom เน้นย้ำว่า ความสัมพันธ์ที่ดีมีความสำคัญมาก ถ้าใครตามเพจหมอแม่ ก็จะเห็นว่า ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้เราอยากอยู่ไปนานๆ โดยไม่ทำให้คนที่เรารักเดือดร้อน ฉะนั้น เราต้องดูแลสุขภาพใจให้ดี เพราะความเครียดน้อยลง เราก็จะป่วยน้อยลง

เมื่อเราเจอสภาวะที่เป็นพิษ ที่เราชอบพูดกันว่า Toxic ก็ต้องหาทางออกจากมันให้ได้ แต่ถ้าเราออกไม่ได้ เราก็ยอมรับมันแล้วปรับตัวแก้ไปตามที่สามารถทำได้ ถ้าอายุยังน้อยก็อาจจะล้างพิษได้ยาก แต่พอแก่แล้วจะทำได้ง่ายขึ้น เพราะเราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เราจะตื่นมามั้ย เวลาเรามันมีค่ามากเกินกว่าที่จะไปเสียกับเรื่องลบๆ ทั้งหลาย ยอ่งรู้สึกว่า เวลาของกามีชีวิตเหลือน้อยก็ยิ่งทำให้เรามีความคิดปล่อยวงพวกนี้ได้ง่ายขึ้น แต่เดี๋ยวนี้ มีข้อแนะนำเคล็บลับต่างๆ มากมาย ทำให้คนที่อายุยังน้อยก็สามารถฝึกฝนหรือหาวิธีออกจาก toxic ได้
หมอแม่ ให้ข้อคิดว่า คนเราทุกคนในที่สุดก็ต้องแก่ แต่อยากให้ทุกคนรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะแม่ หรือลูก เราอยากให้ตอนที่เราแก่เป็นแบบไหน เราต้องทำตั้งแต่วันนี้เพื่อคนๆ นั้นในอนาคต จึงจำต้องดูแลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจให้ดี
ขณะที่ อมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ ซีอีโอ Sati App แอปพลิเคชันที่วางตัวเป็นพื้นที่อย่างไม่ตัดสิน และเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต บอกว่า ถ้ามองในมิติปัจเจกบุคคล จะต้องดูว่า แต่ละคนมี Self resiliency หรือความยืดหยุ่นทางจิตใจมากน้อยขนาดไหน เพราะจิตใจเรามันอ่อนไหวง่าย มันจะวิ่งไปหาสิ่งลบๆ ได้ง่ายมาก แล้วเราจะดึงมันมาอยู่ตรงกลางได้อย่างไร หรือวันที่เราแฮบปี้มาก ถ้ามันตกลงมา เราพร้อมรับมือกับมันยังไง ฉะนั้น ไม่ว่าจิตใจจะไปที่ไหน เราก็จะต้องพามันกลับมาที่จุดกลางให้ได้ ซึ่งความยืนหยุ่นทางใจเป็นสิ่งที่ทำได้ด้วยตัวเองและเป็นสิ่งที่ต้องทำ

ในเชิงโครงสร้าง ระบบนิเวศทางสุขภาพจิตที่โอบรับทุกคนจะเป็นสิ่งที่ทำให้สุขภาพจิตยั่งยืน เพราะถ้าวันนี้ ความหวังหมด ไม่ได้หมดแค่ตัวเอง แต่หมดกับสิ่งรอบข้าง สุขภาพจิตก็ไป ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ถ้าระบบนิเวศหรือสิ่งรอบข้างมันทำให้คนมีความหวังอยู่เรื่อยๆ มันจะเติมเต็มพลังให้คนอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ปัญหาจิตใจที่เกิดร้อยเหตุการณ์ ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถจัดการได้ทุกเหตุการณ์ แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำให้เรามีความยืดหยุ่นทางจิตใจได้ คือ เราต้องรับรู้ก่อน ให้ชื่อกับอารมณ์เราให้เป็น บางคนมีความรู้สึกกับอารมณ์บางสิ่งบางอย่าง แต่ให้ชื่อกับมันไม่เป็น ถ้าหากเราไม่เข้าใจอารมณ์ ให้รู้ว่า ความรู้สึกนี้มันส่อมาทางกายแบบไหน บางคนโกรธมือเริ่มกำ ก็ทำให้เรารู้ว่า กำมือเมื่อไหร่แปลว่าฉันโกรธ บางคนวิตกกังวล ขาเริ่มสั่น กลัวจะมีเหงื่อออก อย่างน้อยถ้าให้ชื่ออารมณ์ตัวเองไม่ได้ ลองไปลิงค์อารมณ์กับภาษาทางกายออกมาแบบไหน จะได้ใช้สติแก้ไขได้ก่อน หมายความว่า เราต้องรู้ทันอารมณ์ รู้ทันกายของเราก่อน ถ้าเราสามารถรู้ทันได้ ไม่ได้บอกว่า รู้ร้อยครั้งเราต้องระงับอารมณ์ตัวเองได้ร้อยครั้ง แต่ค่อยๆ แก้ไป
"ถ้าเราแบกของหนัก พอเราปล่อยของลงก็จะทำให้เบา เหมือนกับเราแบกเรื่องหนักๆ ไว้ในใจ ถ้าวันหนึ่งเราสามารถปล่อยมันไปได้ มันก็จะทำให้ใจเราเบาลง แม้ว่าลบมันไปแล้วแต่ไม่ได้ลืม แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ให้ค่ากับสิ่งนั้นที่จะกับมาทำร้ายเราได้ในอนาคต"

อมรเทพ ชี้ว่า ในยุคที่สังคมพูดถึงการคิดบวก แต่การจัดการกับอารมณ์ตัวเอง ก็ไม่ได้หมายความว่าคิดบวกจนเป็นลบ ที่เรียกว่า Toxic Positivity ไม่ใช่นะ แต่ให้อยู่กับความเป็นจริงให้ไดมากที่สุด บางคนบวกจนลอยอยู่เหนือปัญหาทุกอย่าง ในที่สุด ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตได้
การแก้ปัญหาของเราวันนี้ ไม่ควรเป็นปัญหาในอนาคตสำหรับเราและคนอื่น ทุกอย่างควรเริ่มจากตัวเองก่อน การดูแลชีวิตเปรียบเหมือนวิ่งมาราธอน ค่อยๆ วิ่งไป แล้วก็จะวิ่งได้ยืนยาว



มาอัพเดทเทรนด์ด้านความยั่งยืนทุกมิติ เพื่อก้าวตามให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วไปพร้อมกัน ที่ IDEA LAB ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ตั้งแต่วันที่จนถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)
 
                     
                         
                 
     
    