การเสวนาในหัวข้อ "การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการอย่างยั่งยืน สู่มหาดไทยปันสุข" ได้รวบรวมผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้
คุณสุระวุธ จันทร์งาม นายอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำเสนอความสำเร็จของโครงการสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม ซึ่งมีเนื้อที่กว่า 1,700,000 ไร่ และประชากรราว 60,000 คน โครงการนี้เริ่มต้นจากการสำรวจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผ่านระบบไทยคิวเอ็ม ซึ่งพบว่าปัญหาหลักของพื้นที่คือน้ำท่วม น้ำแล้ง และไฟป่าหมอกควัน การแก้ปัญหาเริ่มจากการสร้างฝายชะลอน้ำกว่า 160,000 ฝาย โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการ แต่อาศัยความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ แม้ในปีนี้จะมีฝนตกหนัก แต่อำเภอแม่แจ่มสามารถจัดการน้ำไม่ให้ท่วมพื้นที่สำคัญได้ภายใน 12 ชั่วโมง นอกจากนี้ ในช่วงฤดูแล้ง น้ำในลำธารยังคงไหลตลอดทั้งปี ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คุณภาพน้ำในแม่น้ำแม่แจ่มก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พ่อหลวงวิทยา เจนตีสันติ ตัวแทนผู้ใหญ่บ้านในอำเภอแม่แจ่ม ได้เล่าถึงวิธีการดำเนินงานในระดับชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน การใช้วัสดุในท้องถิ่น และการแบ่งงานกันทำ เช่น แต่ละหมู่บ้านรับผิดชอบสร้างฝาย 3 ฝายต่อปี นอกจากการชะลอน้ำแล้ว ฝายยังช่วยดักตะกอนและเมล็ดพันธุ์พืช ทำให้เกิดการฟื้นฟูป่าโดยธรรมชาติ
อาจารย์บัญชา ราษีมิน หรืออาจารย์ม่อน นักธุรกิจจิตอาสา ได้แบ่งปันประสบการณ์การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตจริง เริ่มจากการทำโครงการโคก หนอง นา โมเดลในพื้นที่ 28 ไร่ของตนเอง โดยได้รับความช่วยเหลือจากภาคีเครือข่ายต่างๆ ทั้งนักวิชาการ พระสงฆ์ และปราชญ์ชาวบ้าน ภายในเวลาเพียง 3-4 เดือน พื้นที่ซึ่งเดิมเป็นดินลูกรังและหินก็สามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารได้
ต่อมา อาจารย์บัญชาได้เข้าร่วมโครงการของกรมการพัฒนาชุมชน ทำโคก หนอง นา โมเดลในพื้นที่ 3 ไร่ ด้วยงบประมาณ 75,000 บาท ซึ่งสามารถสร้างแหล่งอาหารที่หลากหลายและยั่งยืน เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าเงินจำนวนเดียวกันนี้หากนำไปซื้อตู้เย็น ก็จะได้เพียงที่เก็บอาหารที่ต้องเติมและมีของเสียเหลือทิ้ง แต่การลงทุนในโคก หนอง นา โมเดล ให้ผลตอบแทนที่ยั่งยืนและเพิ่มพูนตลอดเวลา อาจารย์บัญชายังได้รับโอกาสเป็นวิทยากรฝึกอบรมให้กับผู้เข้าร่วมโครงการของกรมการพัฒนาชุมชนในหลายจังหวัด และได้ติดตามผลการดำเนินงานในพื้นที่ต่างๆ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น การประสานงานกับบริษัทเอกชนเพื่อมอบรถไถพร้อมอุปกรณ์ให้แก่เกษตรกรที่มีความมุ่งมั่นในการทำเกษตรผสมผสาน
อาจารย์บัญชาอธิบายว่าในระยะแรก โคก หนอง นา โมเดลอาจไม่ได้เพิ่ม GDP โดยตรง แต่จะช่วยเพิ่มเงินคงเหลือให้กับครัวเรือน และเมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี มูลค่าของทรัพยากรในพื้นที่โคก หนอง นา จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลตอบแทนระยะยาวของโครงการนี้
คุณจันท์นิภา หวานสนิท หรือป้าจอย เกษตรกรจากจังหวัดกระบี่ ได้เล่าถึงการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในพื้นที่ 15 ไร่ ภายใต้โครงการโคก หนอง นา โมเดล โดยเน้นการปลูกพืชสมุนไพรและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ป้าจอยได้ขยายผลความรู้สู่โรงเรียนในพื้นที่ เน้นการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร และยังได้พัฒนานวัตกรรมเช่นหมอนสมุนไพรสำหรับผู้ป่วยติดเตียง นอกจากนี้ ยังมีการเลี้ยงปลาด้วยอาหารอินทรีย์จากแมลงวันลาย ซึ่งมีโปรตีนสูง
พ่อหลวงสมชาย ยั่งสันติวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านจากอำเภอแม่แจ่ม ได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจในการสร้างความร่วมมือและความสามัคคีในชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งคนเมือง กะเหรี่ยง และม้ง การทำฝายไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องการจัดการน้ำ แต่ยังเป็นกิจกรรมที่หล่อหลอมคนในชุมชนให้มาร่วมกันคิด วางแผน และลงมือทำ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันไฟป่าในฤดูแล้งได้อีกด้วย
ในการสรุปแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน นายอำเภอสุระวุธได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการทำงาน โดยมีเป้าหมายคือการพัฒนาที่ยั่งยืน แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) การพึ่งตนเองให้ได้ก่อน 2) การก้าวหน้า และ 3) การพัฒนาสู่ความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการสร้างป่าสร้างรายได้ เพื่อปรับเปลี่ยนอาชีพสู่การปลูกพืชมูลค่าสูง
อำเภอแม่แจ่มยังมีการอนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การทอผ้าตีนจก การปลูกข้าวบนนาขั้นบันได และความรู้ด้านสมุนไพรพื้นบ้าน โดยมีการจัดตั้งชมรมหมอพื้นบ้านที่มีสมาชิกกว่า 300 คน จากหลากหลายชนเผ่า มีการประชุมแลกเปลี่ยนความรู้และถอดบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ
ความสำเร็จของการพัฒนาในอำเภอแม่แจ่มยังเกิดจากการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ เช่น การได้รับการสนับสนุนปูนซีเมนต์จากกระทรวงมหาดไทย การระดมทุนจากชุมชนเพื่อสร้างถนนและบ้าน และการได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการโคก หนอง นา โมเดล 558 แปลงในอำเภอ ซึ่งมีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับอำเภอเพื่อขับเคลื่อนและถอดบทเรียน
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการพึ่งพาตนเอง การมีส่วนร่วม และการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผสมผสานกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ความสำเร็จเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ทำให้สามารถรับมือกับวิกฤตต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถช่วยเหลือชุมชนอื่นๆ ได้อีกด้วย
การเสวนาครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างชุมชนและภูมิภาคต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืนในระดับประเทศ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของ SX ได้ทาง Facebook Page : Sustainability Expo, และแอดไลน์ @sxofficial
เตรียมพบกับมุมมองดีๆ และต้นแบบสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั่งยืนพบกับงาน SX2025 ที่จะกลับมาจัดยิ่งใหญ่กว่าเดิม ระหว่าง วันที่ 26 ก.ย. - 5 ต.ค. 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ "เพราะความยั่งยืนเป็นเรื่องของเราทุกคน"